ในปัจจุบัน การเลือกแปรงสีฟันให้ลูกน้อยกลายเป็นเรื่องที่คิดไม่ตกสำหรับบรรดาเหล่าคุณแม่ เพราะทุกครั้งที่ไปยืนเลือกซื้อก็ต้องเสียเวลามากมาย เนื่องจากมีแปรงสีฟันหลากหลายรูปแบบมาให้เลือกกันอย่างละลานตา แล้วคุณแม่จะต้องเลือกอย่างไร?
สำหรับวิธีการเลือกแปรงสีฟันเบื้องต้น คุณแม่ก็ควรเลือกแปรงสีฟันที่พอดีกับช่องปากของเขา และเลือกแปรงที่มีขนาดด้ามจับที่เหมาะสมเพื่อให้เด็กๆ สามารถจับถือใช้งานได้ง่ายและปลอดภัย
นอกจากนี้ ควรเลือกแปรงสีฟันที่มีขนแปรงนุ่ม ปลายมนหรือมันเงา เนื่องจากแปรงสีฟันเหล่านี้จะอ่อนโยนต่อเหงือกและฟันของพวกเขานั่นเองค่ะ
แต่นอกจากจะต้องคำนึงถึงขนาดของแปรงสีฟันแล้ว คุณแม่อาจต้องดูจากปัจจัยหลายๆ อย่างเพิ่มเติม เช่น อายุ ความสามารถ สุขภาพช่องปากของลูกน้อย สีสัน ลวดลาย เป็นต้น
แม้ว่าอาจจะฟังดูแล้วยุ่งยากไปสักนิด แต่หากคุณแม่คำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้และเลือกแปรงสีฟันที่เหมาะสมกับลูกน้อยได้ ก็จะยิ่งทำให้เด็กๆ ให้สนุกไปกับการแปรงฟันและอยากแปรงฟันบ่อยขึ้นนั่นเองค่ะ
และในบทความนี้ Mama’s Choice ได้รวบรวมเคล็ดลับดีๆ เพื่อเป็นแนวทางให้คุณแม่เลือกแปรงสีฟันที่เหมาะกับลูกน้อยได้ง่ายขึ้นมาฝากกันแล้วค่ะ
เด็กๆ แต่ละช่วงวัยเหมาะกับแปรงสีฟันแบบไหน?
อย่างที่คุณแม่ทราบกันไปแล้วว่าการเลือกแปรงสีฟันสำหรับเด็กอาจจะต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายๆ อย่าง และหนึ่งในนั้นก็คือ การใช้ช่วงอายุของพวกเขาเป็นหลักเกณฑ์สำหรับการเลือกแปรงสีฟันที่เหมาะสมที่สุดแล้วเด็กๆ แต่ละช่วงวัยควรใช้แปรงสีฟันแบบไหน? ตามเรามาเลยค่ะ
1. เด็กทารก (Babies)
สำหรับแปรงสีฟันของทารก เริ่มแรกคุณแม่อาจใช้เพียงแค่ผ้านุ่มๆ ชุบน้ำหมาดๆ มาทำความสะอาดเหงือกของเด็กๆ ก่อนที่ฟันของพวกเขาจะขึ้น แต่จริงๆ แล้ว คุณแม่สามารถเลือกใช้แปรงสีฟันที่มีสีสันสดใส มีหัวแปรงขนาดเล็ก และมีความนุ่มเป็นพิเศษกับทารกได้แล้ว
โดยการเลือกใช้แปรงสีฟันที่ออกแบบมาให้มีขนาดเล็กเป็นพิเศษแบบนี้จะช่วยคุณแม่ให้สามารถสอดแปรงเข้าปากและทำความสะอาดช่องปากของทารกได้พอดี
2. เด็กวัยหัดเดิน (Toddlers)
ส่วนแปรงสีฟันสำหรับเด็กวัยหัดเดิน คุณแม่ยังจำเป็นต้องเลือกแปรงที่มีสีสันสดใสเพื่อกระตุ้นให้เด็ก ๆ เกิดความสนใจในการแปรงฟันเป็นประจำ นอกจากนี้ คุณแม่ควรเลือกแปรงสีฟันที่มีหัวแปรงขนาดเล็กและมีด้ามจับขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการจับของเด็กๆ วัยหัดเดิน อีกทั้งยังช่วยให้เด็กๆ สามารถฝึกการควบคุมกล้ามเนื้อมัดเล็กอย่างข้อมือได้อีกด้วยค่ะ
2. เด็กๆ ที่มีอายุ 5 ถึง 8 ปี (Age 5 to 8)
เด็กๆ ในวัยนี้สามารถแปรงฟันได้เองตามลำพังหรือในบางครั้งคุณแม่อาจจะต้องคอยยืนกำกับดูแลอยู่บ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ซึ่งแปรงสีฟันสำหรับเด็กๆ ในช่วงอายุนี้จะมีรูปแบบค่อนข้างคล้ายกับแปรงสีฟันสำหรับผู้ใหญ่อยู่บ้าง แต่คุณแม่ควรเลือกแบบที่มีหัวแปรงขนาดเล็กและมีส่วนของด้ามจับที่บางกว่าแปรงสีฟันของเด็กวัยหัดเดิน เนื่องจากเด็กๆ มีความคล่องแคล่วในการใช้งานสูงขึ้นแล้ว
โดยแปรงสีฟันสำหรับเด็กในวัยนี้มักจะถูกผลิตออกมาให้มีลวดลายเป็นตัวการ์ตูน ดังนั้น เด็กๆ จึงสนุกกับการเลือกแปรงสีฟันให้ตรงกับตัวการ์ตูนที่พวกเขาชื่นชอบ
3. เด็กๆ ช่วงก่อนวัยรุ่น (Preadolescence)
เด็กๆ ในช่วงวัยนี้ คือ เด็กที่มีอายุ 8 ปีขึ้นไป และพวกเขาสามารถแปรงฟันได้ด้วยตัวเองกันแล้ว ดังนั้น แปรงสีฟันสำหรับเด็กในวัยนี้จึงดูเหมือนแปรงสีฟันของผู้ใหญ่อยู่ไม่มากก็น้อยเลยทีเดียวค่ะ แต่ก็ยังมีจุดที่คุณแม่ใช้สังเกตได้ คือ ขนาดของหัวแปรงจะยังคงบางกว่าของผู้ใหญ่อยู่ดีค่ะ
นอกจากนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่แปรงฟันแบบธรรมดาเท่านั้นที่คุณแม่สามารถเลือกให้ลูกน้อยใช้ได้ แต่แปรงสีฟันไฟฟ้าก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับเด็กๆ ในช่วงวัยนี้ แต่เราขอแนะนำให้คุณแม่ปรึกษาและพูดคุยกับทันตแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกแปรงสีฟันไฟฟ้ามาให้เด็กๆ ใช้กัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีเพียงแค่ขนาด สีสัน หรือลวดลายที่คุณแม่ควรคำนึงถึงเท่านั้น แต่วัสดุที่นำมาใช้ในการผลิตแปรงสีฟันก็จำเป็นต้องคำนึงถึงด้วยเช่นกันนะคะว่า วัสดุนั้นได้คุณภาพและปลอดภัยสำหรับลูกน้อยหรือไม่?
อย่างน้อยที่สุด คุณแม่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่บนฉลากมีคำว่า ‘Food Grade’ เพื่อให้คุณแม่มั่นใจได้ว่าแปรงสีฟันที่คุณแม่เลือกมาจะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของลูกน้อย ดังนั้น เพื่อให้คุณแม่เลือกซื้อได้อย่างมั่นใจมากขึ้น อย่าลืมศึกษาคำแนะนำบนฉลากด้านหลังผลิตภัณฑ์ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อกันด้วยนะคะ
—
ทั้งหมดนี้ ก็เป็นเคล็ดลับสำหรับการเลือกแปรงสีฟันสำหรับเด็กๆ ในแต่ละช่วงวัยที่เรานำมาฝากกันค่ะ อย่างไรก็ตาม การที่คุณแม่เลือกแปรงสีฟันได้ถูกต้อง ไม่ได้แปลว่าจะช่วยให้ลูกน้อยมีสุขภาพเหงือกและฟันที่แข็งแรง ดังนั้น อย่าลืมพาลูกแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หรือทุกครั้งหลังทานอาหารกันด้วยนะคะ 🙂
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
วิธีดูแลฟันลูกน้อย ที่คุณแม่ต้องใส่ใจ
13 ขั้นตอน อาบน้ำเด็กแรกเกิด ไม่ยาก คุณแม่มือใหม่ก็ทำได้!
‘เลี้ยงลูกด้วยนมแม่’ ความรักความห่วงใยที่ช่วยทั้งคุณแม่และลูกน้อย
Wanvisa